นิกโก้เป็นอุทยานแห่งชาติของประเทศที่ญี่ปุ่นที่น่าสนใจอยู่ทางทิศเหนือของโตเกียว 130 km และมีชื่อเสียงผู้ชอบการเดินป่าเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสำหรับคนที่ชื่นชอบธรรมชาติ วันนี้ถือได้ฤกษ์สำคัญเสาร์ที่สามในเดือนตุลาคม (20 ตุลาคม 2555)
เราจะเดินทางออกจากโตเกียวตอนเช้าตรู่และนั่งรถไฟไปนิกโก้ ซึ่งเราจะมีวิธีหลายวิธีด้วยกัน แต่สำหรับคนงบน้อยและไม่สะดวกในการสื่อสาร ก็คงใช้บัตร passmo ไป ราคาค่าโดยสาร เริ่มจาก Ueno นั่ง subway ไปลง Kitasenju (160 Yen/60 บาท) 100 เยน = 39-40 บาท
หลังจากนั้นให้ต่อด้วยสาย Tobu Line 06.32 ตรงนี้จะถึง tobu nikko station เลย ต้องจะเป็นคันแถบสีน้ำเงินเท่านั้น ส่วนสีชมพู หรือสีอื่นๆ ก็อาจจะมีการจอดตามรายทางบ้างตรงนี้จะอยู่ (1320 yen-2 hr 500 บาท) จริงๆเราก็สามารถนั่งรถเริ่มที่ Asakusa ได้เช่นกัน เป็นรถตรงยาวเลยไปถึง Nikko เลย แต่ค่ารถสายยาวตรงก็จะแพงราคา (2500-3000 yen ซึ่งแพงกว่า) เราจึงเลือกที่จะต่อหลายๆต่อ
เราไปถึงที่ tobu nikko station ราวราวจะ 10 โมงกว่า เนื่องจากตั้งแต่โตเกียวเราพลาดรถเรา เลยทำให้เรา late มาก ที่สถานีแห่งนี้มีคนเยอะมาก เราจำเป็นต้องซื้อตั๋วแบบ all day pass อะไรประมาณนี้ซึ่งมีให้เลือกหลายราคา เนื่องจากเราไม่มีเวลาเตรียมข้อมูลมาก เลยเผลอเลือกที่ซื้อตั๋วสีเขียวไปถึงออนเซน 3,000 yen/ 1,200 บาท แต่จริงๆ เราควรซื้อแค่ตั๋วสีชมพูก็โอเค 2650 yen เพราะเราจะไปแค่ น้ำตกและทะเลสาบ เท่านั้น ส่วนคนงบน้อยก็เลือกอันตั๋วอันล่างสุดสีทองรูปไข่ ไปและกลับรวม 500 yen/200 บาท ไปวัดโบราณที่เป็นมรดกโลก (World heritage)
ภาพตั๋วรูปไข่ แสดงข้างบน
ช่วงนี้ที่ไปนี้เป็นหน้าเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสี คนเดินทาง คนเยอะมาก ดังนั้นคนจึงเยอะมาก ต้องวางแผนออกเช้ามากๆ บัตรที่เราซื้อมานั้น เป็นบัตรที่สามารถขึ้นรถได้ขึ้นลง ได้ตลอด ซึ่งก็สามารถเที่ยวได้ทั้งวันโดยใช้บัตรใบเดียว แถมีมีโบชัวร์บอกด้วยว่า bus จอดจุดตรงไหนบ้าง หลังจากที่เราขึ้นรถบัส รถบัสก็จะนำเราไปไต่ขึ้นเขาไปด้วย รถอาจจะช้าเพราะรถติดมาก ระหว่างทางก็สามารถกดกริ่งลงได้จุดจอดทุกจุดครับ ในใบโบชัวร์จะบอกว่ามีจุดไหนบ้างจุดที่ 1-42 เลยนะครับ
ไฮไลท์ของการมาครั้งนี้คือการมาดูเทศกาลใบไม้เปลี่ยนสี (ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกว่า โคโม) ซึ่งการเปลี่ยนสีนั้นจะเกิดราวราวช่วงเปลี่ยนฤดูเข้าสู่หน้าหนาว ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิก็เริ่มหนาวขึ้น เวลากลางวันสั้นลง ทำให้ระบบสังเคราะห์แสงสร้างคลอโรฟิลด์ (สารสีเขียวของพืช) ไม่สามารถสร้างได้ดี เหมือนเดิม
คลอโรฟิลด์ของเก่าก็หร่อยหรอ ใบไม้ก็มีสารคลอโรฟิลด์ลดลง สารสีอื่นๆในใบไม้ก็จะทำให้ดูโดดเด่นขึ้นแทน เช่นแคโรทีน (carotene) เป็นสารสีแดงหรือสีส้ม และ สารแซนโทฟิลล์ (xantrophyll) เป็นสารสีเหลืองหรือสีน้ำตาล
เรานั่งรถขึ้นเขาไปราวราวเกือบ 1 ชม หลับไปหลายยก แล้วเรากดกริ่งลงที่จุดจอดที่ 35 เพื่อลงไปดูน้ำตก Ryuzu ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่ดีที่สุดเพื่อที่จะถ่ายรูป
ตรงนี้สามารถเก็บรูปถ่ายได้เยอะมาก เพราะมีแต่วิวสวยๆ มาก แต่คนก็เยอะมาก ก็เลยเอารูปให้ดูกันนะครับ อากาศที่นี่ราวราว 12-13 องศาครับ มีร้านน้ำชา มีโมจิ ขนมของฝากสารพัด
หลังจากที่เราดูน้ำตกแล้วเราก็นั่งรถบัสที่รถบัสลงมาดูวิวทะเลสาบซึ่งลงเขาลงไปเป็นจุดลงหมายเลข 28 นะครับ จุดนี้จะมีศาลเจ้าอยู่ด้วย ก็สามารถเดินชมวิวทะเล บรรยากาศเย็นๆได้ ณ บัดนี้
ทะเลสาบ Chuzenji เป็นทะเลสาบที่สงบ มีบ้านมีร้านค้าอยู่ประปราย ไม่ค่อยมีคนเท่าไร (Lake Chuzenji, Nikko)
หลังจากดูวิวทะเลเสร็จ ก็ ลงมาดูโบราณสถาน วัดวาอารามนะครับที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยลงมาจุดลงที่ 9 ตรงนี้นั้นเรามี 1 วัด Rinnoji กับ 2 ศาลเจ้า (โทโชกุ กับ ฟูทาราซาน-ในสุด) ตามลำดับ ซึ่งเสียค่าบัตรเข้าชมคนละ 1300 yen/520 บาท ครับ แต่เนื่องจากรถติดมาก กว่าที่เราลงเขามาถึงวัดก็เกือบ 3 โมงเย็น (หน้าหนาว 5 โมงก็มืดแล้วครับ) ซึ่งอาจจะไม่คุ้มกับ 1300 yen ที่เสียครับกับเวลาดูที่น้อยมากและพื้นที่ขนาดใหญ่ เราจึงไม่ได้ซื้อตั๋วเข้าชมภายใน เราจึงเดินรอบๆเพื่อเสพสถาปัตยกรรมก็ภายนอกพอละกัน (บริเวณวัดนั้น บางส่วนก็สามารถเข้าได้โดยไม่เสียเงินนะครับ)
1 ศาลาที่ชื่อว่า Sanbutsu-do กำลังบูรณะ อยู่ในวัดที่ชื่อว่า Rinnoji (ภาพขวามือ) มีโครงสร้างครอบไว้แต่ก็เข้าชมได้นะ เสียเงินนะ ถัดไปอีกก็จะพบกับ
2. ศาลาห้าชั้นจะอยู่หน้าศาลเจ้าโทโชกุ
ซึ่ง ศาลเจ้าโทโชกุมีคนเก็บค่าเข้า มีรูปปั้น 2 ตนอยู่ตรงทางเข้า และ เมื่อเบี่ยงออกมาก็จะเจอ
3. ส่วนของศาลเจ้า ฟูทาราซาน จะอยู่ลึกในสุด แต่ส่วนด้านนอกก็สามารถเดินชมได้
ในศาลเจ้าจะมีขายเครื่องรางด้วย
ในระหว่างทางหน้าศาลโทโชกุ ตรงหน้าศาลาห้าชั้นก็มีซุ้มขายขนมโมจิครับ มีหลายรูปแบบหน้าตาผ่านนะครับ แต่ราคาแพงจัง (อันละ 180 yen/ 72 บาท) โมจิส่วนมากจะเป็นไส้ถั่วแดงนะครับ ซื้อโมจิเสร็จแล้วคนขายเขาบอกว่า ให้น้ำชาฟรีนะครับ เมื่อทานเสร็จ เดินๆไปก็มีน้องสี่คนหน้าตาดูดีมาขอให้ถ่ายรูปให้กลุ่มเขาหน่อย เสียดายไม่ได้เก็บรูปมาฝากเพื่อนนะครับ เลยเอาเบื้องแผ่นหลังของน้องเขามาฝากแทน ไม่น่าเชื่อนะเนี่ย ว่ามาเที่ยววัดกันด้วย
เมื่อเราเที่ยวชมวัดวาอารามเสร็จแล้ว เราสามารถเดินออกจากวัดแล้วนั่งรถหรือไม่นั่งรถก็ได้เพื่อไป ชมสะพานชินเกียว เป็นสะพานที่เขาบอกกันว่าสวยงาม หรือลงจุดจอด bus stop จุดที่ 7 นะครับ ใครที่ต้องการเดินข้ามสะพานก็อาจจะต้องเสียตังนะครับ
จะเห็นได้ว่าทุกที่ในญี่ปุ่น รู้สึกจะเก็บเงินบ่อยและถี่มาก ซึ่งเคยได้ยินเพื่อนๆเขาพูดกันว่า "ไม่มีอะไรที่ญี่ปุ่นฟรีนะยกเว้นห้องน้ำ" กับเมืองที่ค่าครองชีพแพงมาก เช่นน้ำเปล่าขนาด 500 ml ในเซเว่นขวดละ 100-150 เยน 40-60 บาทไทย เป็นต้น ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงสินค้าอย่างอื่นเลยนะครับ เพราะว่าแพงพอพอกัน (แต่ก็ยังอยากมาเที่ยวญี่ปุ่นอยู่นะ) เมื่อเราไม่ได้ข้ามสะพาน เราก็มาจินตนาการว่าเดินข้ามสะพานชินเกียวเสร็จแล้วนั้น บริเวณจุดจอด bus stop ที่ 7 ก็มีร้านขายของเยอะมาก ลองมาดูกันว่าไรขายบ้าง
ถ้าหากต้องการขึ้นกระเช้าให้ไปจุดที่ 23 ดูวิวภูเขา ซึ่งกระเช้าจะปิดบริการประมาณ 5 โมงนะครับ
ก่อนกลับแวะถ่ายรูปกับหน้าสถานีทั้งส่วนของ Tobu nikko station (จุด bus stop ที่ 2) และ nikko station (จุด bus stop ที่ 1) และกลับโตเกียวโดยสวัสดิภาพพร้อมเก็บภาพความรู้สึกที่ประทับใจ ไว้ถ้ามีโอกาสจะกลับไปเที่ยวใหม่นะ
Tobu Nikko station
JR Nikko station
บันทึกจบแล้วครับผม ให้กำลังใจ ด้วยการกดLike หน้าเพจนะครับ
>>>> Facebook เพจ เที่ยวญี่ปุ่น By นักล่าฝัน <<<<<
จบแล้วครับ ให้กำลังใจ ไลท์เพจด้วยนะครับ
เพลิดเพลินเหมือนได้ไปเที่ยวด้วยเลยเบท เก็บรายละเอียดได้เยอะมาก อ่านตามอร่อยโมจิไปเลย
ตอบลบ